LAMPANG-CNN
หุ้ น ไ ม่ ย า ก อ ย่ า ง คุ ณ คิ ด

HOME

 บอกอ ขอคุยด้วย   

 นครลำปาง ณ วันนี้

 การค้า-เศรษฐกิจ 

  + การตลาดเมืองรถม้า

  + หุ้นไม่ยากอย่างคุณคิด

 สังคม-วัฒนธรรม   

 รถม้าพาเที่ยว      

 สุขกายสบายใจ    

 จิตวิทยาใกล้ตัว    

 สาระบันเทิง        

 แจ่งหนังสือ         

  นำเสนอข่าวสาร เรื่องราวทางธุรกิจ - การตลาด - และการลงทุน ของคนลำปาง และในภาคเหนือ  

* บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้น  สำหรับผู้สนใจลงทุนในในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น  หากนักลงทุนตัดสินใจสมัครเป็นลูกค้าแลใช้บริการของบริษัทหลักทรัพย์ใด  ควรทำความรู้จักหลักทรัพย์ ,ผลตอบแทน , ความเสี่ยง  ด้วยการศึกษา  และติดตามข้อมูลเกี่ยวกับหลักทรัพย์จากสิ่งพิมพ์ ,ข่าวสาร ,เอกสารเผยแพร่ ,วิทยุ ,โทรทัศน์ หรือ  ข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ  เช่น  www.set.or.th   ;        www.settrade.com ; หรือ www.kimeng.co.th  หรือ จากเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์อื่น ๆ  

ข่าว และบทความน่ารู้สำหรับนักลงทุน :

ถ้ามีเงินสักก้อนคิดจะเอาไปทำอะไร ?

คาถาบริหารเงินปีแพะ2546....อย่าจ่ายเพลิน !

บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับหุ้น

"ศิริวัฒน์แซนวิช" นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

เครื่องหมายต่างๆบนกระดานซื้อ-ขายหุ้น

 

วิธีลดความเสี่ยงในการลงทุน

 

กฏ10ประการของ ปีเตอร์ ลินช์ ในการซื้อขายหุ้น

 

                                                                             

          

 วิธีลดความเสี่ยงในการลงทุน      

โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เรียบเรียงจาก Settrade.com
2 กันยายน 2545

 


หัวใจของการลงทุนมีอยู่เพียงสองเรื่องเท่านั้นนั่นก็คือความเสี่ยงกับผลตอบแทนของการลงทุน


ในทางทฤษฎีผลตอบแทนของการลงทุนนั้น มักจะแปรผันไปกับความเสี่ยงเสมอนั่นก็คือถ้าคุณอยากที่จะได้รับผลตอบแทนมากคุณก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น


ความเสี่ยงที่ว่านั้นก็คือโอกาสที่ผลตอบแทนจะไม่เป็นไปตามที่คิด  นั่นก็คือบางทีคุณอาจจะได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาด และบางทีคุณอาจจะถึงกับขาดทุนได้แต่โดยรวมในระยะยาวแล้ว  ผลตอบแทนของการลงทุนโดยเฉลี่ยจะสูงกว่าการลงทุนในสิ่งที่เสี่ยงน้อย เช่น การลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทเอกชน หรือการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซึ่งถือว่าไม่มีความเสี่ยงเลย


การลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถือว่ามีความเสี่ยงสูง เพราะฉะนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหุ้น  ควรจะสูงกว่าการฝากเงินหรือลงทุนในตราสารหนี้  ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยแน่นอนแต่ในระยะสั้นราคาหรือดัชนีตลาดหุ้นมีความผันผวน และคนลงทุนอาจขาดทุนได้ง่าย ๆ และนี่คือความเสี่ยงของการลงทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่อาจจะสามารถลดหรือบรรเทาลงได้


วิธีลดความเสี่ยงของการลงทุนซื้อขายหุ้นที่ดีที่สุดนั้น คงเป็นอย่างที่
วอเร็นบัฟเฟต  กล่าวไว้นั่นก็คือเราจะต้องรู้จักหุ้นที่จะลงทุนเป็นอย่างดี  สิ่งที่บริษัทขายหรือธุรกิจของบริษัทควรจะเป็นสิ่งที่เราเข้าใจเป็นอย่างดีเราควรจะรู้หรือมีความมั่นใจว่าอีก 5 หรือ10 ปีข้างหน้าบริษัทนั้นจะเป็นอย่างไร  การซื้อหุ้นโดยที่เราไม่รู้จักธุรกิจของบริษัทนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูง  สำหรับบัฟเฟตแล้วความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องที่ราคาหุ้นมีความผันผวนไปกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์  แต่ความเสี่ยงคือการที่เราไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่


วิธีลดความเสี่ยงวิธีที่สองก็คือ การกระจายการลงทุนโดยการซื้อหุ้นหลาย ๆ ตัวเก็บเป็นพอร์ตโฟลิโอ


จำนวนของหุ้นที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอควรจะมีอย่างน้อย10ตัวขึ้นไป โดยที่หุ้นแต่ละตัวควรจะมาจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ กันไป  เพื่อที่ว่าเมื่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งหรืออุตสาหกรรมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีปัญหา  หุ้นตัวอื่นหรือหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นจะไม่ถูกกระทบไปพร้อมๆ กัน


การลดความเสี่ยงโดยการกระจายการถือหุ้นนั้น ไม่ควรกระจายมากเกินไป เพราะการถือหุ้นเต็มไปหมดนั้น  จะทำให้เราไม่เข้าใจหุ้นอย่างดีพอและทำให้การลงทุนผิดพลาดได้กลายเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการไม่รู้ และถ้าเราทำแบบนั้นมาก ๆ การที่จะหวังได้ผลตอบแทนที่ดีจากพอร์ตโฟลิโอก็เป็นไปได้ยาก


กฎง่าย ๆ ของผมก็คือ ควรมีหุ้นที่มีความสำคัญ หรือมีจำนวนค่อนข้างมากไม่น้อยกว่า   5 – 6 ตัวซึ่งอาจจะถือว่าเป็นแกนของพอร์ตโฟลิโอที่เราจะถือค่อนข้างยาว และหุ้นที่มีคุณภาพดี และราคาถูกเข้าข่ายเป็นหุ้นมีคุณค่าอีกสัก10 – 20ตัวเป็นส่วนประกอบโดยที่หุ้นที่เป็นแกน ควรจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า70% และหุ้นที่เป็นตัวประกอบไม่เกิน30%


วิธีการกระจายหุ้นข้างต้นนั้น เหมาะสำหรับพอร์ตที่มีขนาดใหญ่พอสมควร และเป็นการลงทุนของ ValueInvestor มืออาชีพในกรณีที่พอร์ตยังเล็กอยู่ผมคิดว่าการถือหุ้นเพียง 5 –6 ตัวในพอร์ตโฟลิโอก็ถือว่าเพียงพอแล้ว


ารลดความเสี่ยงวิธีที่สามก็คือ การกระจายการลงทุนไปในหลาย ๆ ช่วงเวลาหรือพูดง่าย ๆ ก็คือการทยอยลงทุนไปเรื่อย ๆ  ทั้งในช่วงที่ตลาดหุ้นขึ้น และตลาดหุ้นลงหรือในช่วงที่ดัชนีตลาดอยู่ในระดับสูง และในช่วงที่ดัชนีตลาดค่อนข้างจะต่ำสุด ๆ


การกระจายความเสี่ยงตามระยะเวลานั้น ช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดหลักทรัพย์ได้เป็นอย่างดี  เพราะในความเป็นจริงเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าดัชนีตลาดจะขึ้นหรือลงถ้าเรากำเงินทั้งหมดเข้าตลาดในช่วงที่ตลาดกำลังร้อนแรงเป็นตลาดกระทิงถ้าหากตลาดเกิดเปลี่ยนทิศและตกลงมาอย่างแรงเราอาจจะขาดทุนมหาศาลและอาจต้องใช้เวลานานเป็น 5 ปีหรือ 10 ปี กว่าที่พอร์ตของเราจะได้ทุนคืนมา


เช่นเดียวกันในช่วงที่ภาวะตลาดซบเซา  ถ้าเราเข้าไปซื้อหุ้นมากมายทีเดียวก็อาจจะมีโอกาสที่ตลาดจะตกลงไปอีก  ถึงแม้ว่าเราจะคาดว่าความเสี่ยงในภาวะนั้นจะมีน้อย ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือทยอยลงทุนไปเรื่อย ๆ ในหุ้นที่เราคัดเลือกแล้วว่าดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา


วิธีลดความเสี่ยงวิธีสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงนี้ อาจจะไม่ค่อยมีผู้กล่าวถึงนักแต่โดยส่วนตัวผมเองคำนึงถึงอยู่เสมอนั่นก็คือ เลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีหนี้น้อยหรือไม่มีหนี้เลยและเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลค่อนข้างดีและสม่ำเสมอ


บริษัทที่มีหนี้น้อยหรือไม่มีหนี้นั้นเป็นบริษัทที่มีความแข็งแรงสามารถทนต่อสภาวะผันผวนหรือวิกฤตเศรษฐกิจได้  รวมทั้งสามารถต่อสู้กับคู่แข่งได้ดีกว่าบริษัทที่มีหนี้มากเพราะฉะนั้นราคาหุ้นของบริษัทที่ปลอดหนี้มักจะไม่ตกลงมารุนแรงแม้ว่าตลาดหรือบริษัทจะประสบกับภาวะเลวร้าย  นอกจากนั้นการที่บริษัทจ่ายปันผลดี และสม่ำเสมอจะเป็นเครื่องที่คอยค้ำจุนราคาหุ้นไม่ให้ตกต่ำเกินไป เพราะถ้าหุ้นตกลงมามากก็จะมีนักลงทุนเข้ามารับหุ้นเพื่อรอกินปันผล


วิธีการลดความเสี่ยงที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ผมคิดว่าเป็นวิธีการที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้เป็นอย่างดี โดยส่วนตัวผมเองแล้วการลงทุนในตลาดตลอดมาไม่เคยประสบกับความผันผวนรุนแรงไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรและที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ  ผลตอบแทนของการลงทุนก็ไม่ได้ลดถอยลงไปเลย เรียกได้ว่าความเสี่ยงต่ำ  แต่ผลตอบแทนสูงตรงกันข้ามกับทฤษฎีการเงินอย่างสิ้นเชิง


 

        

  Lampang-CNN :  viman183@hotmail.com