*
บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้น
สำหรับผู้สนใจลงทุนในในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น
หากนักลงทุนตัดสินใจสมัครเป็นลูกค้าและใช้บริการของบริษัทหลักทรัพย์ใด
ควรทำความรู้จักหลักทรัพย์ ,ผลตอบแทน , ความเสี่ยง
ด้วยการศึกษา
และติดตามข้อมูลเกี่ยวกับหลักทรัพย์จากสิ่งพิมพ์
,ข่าวสาร ,เอกสารเผยแพร่ ,วิทยุ ,โทรทัศน์ หรือ
ข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น
www.set.or.th
;
www.settrade.com
;
หรือ
www.kimeng.co.th
หรือ
จากเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์อื่น
ๆ
วิธีลดความเสี่ยงในการลงทุน
โดย ดร. นิเวศน์
เหมวชิรวรากร
เรียบเรียงจาก Settrade.com
2 กันยายน 2545
หัวใจของการลงทุนมีอยู่เพียงสองเรื่องเท่านั้นนั่นก็คือความเสี่ยงกับผลตอบแทนของการลงทุน
ในทางทฤษฎีผลตอบแทนของการลงทุนนั้น
มักจะแปรผันไปกับความเสี่ยงเสมอนั่นก็คือถ้าคุณอยากที่จะได้รับผลตอบแทนมากคุณก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น
ความเสี่ยงที่ว่านั้นก็คือโอกาสที่ผลตอบแทนจะไม่เป็นไปตามที่คิด
นั่นก็คือบางทีคุณอาจจะได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาด
และบางทีคุณอาจจะถึงกับขาดทุนได้แต่โดยรวมในระยะยาวแล้ว
ผลตอบแทนของการลงทุนโดยเฉลี่ยจะสูงกว่าการลงทุนในสิ่งที่เสี่ยงน้อย
เช่น การลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทเอกชน
หรือการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซึ่งถือว่าไม่มีความเสี่ยงเลย
การลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถือว่ามีความเสี่ยงสูง
เพราะฉะนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหุ้น
ควรจะสูงกว่าการฝากเงินหรือลงทุนในตราสารหนี้
ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยแน่นอนแต่ในระยะสั้นราคาหรือดัชนีตลาดหุ้นมีความผันผวน
และคนลงทุนอาจขาดทุนได้ง่าย ๆ
และนี่คือความเสี่ยงของการลงทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่อาจจะสามารถลดหรือบรรเทาลงได้
วิธีลดความเสี่ยงของการลงทุนซื้อขายหุ้นที่ดีที่สุดนั้น
คงเป็นอย่างที่วอเร็นบัฟเฟต
กล่าวไว้นั่นก็คือเราจะต้องรู้จักหุ้นที่จะลงทุนเป็นอย่างดี
สิ่งที่บริษัทขายหรือธุรกิจของบริษัทควรจะเป็นสิ่งที่เราเข้าใจเป็นอย่างดีเราควรจะรู้หรือมีความมั่นใจว่าอีก
5 หรือ10 ปีข้างหน้าบริษัทนั้นจะเป็นอย่างไร
การซื้อหุ้นโดยที่เราไม่รู้จักธุรกิจของบริษัทนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูง
สำหรับบัฟเฟตแล้วความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องที่ราคาหุ้นมีความผันผวนไปกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์
แต่ความเสี่ยงคือการที่เราไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
วิธีลดความเสี่ยงวิธีที่สองก็คือ
การกระจายการลงทุนโดยการซื้อหุ้นหลาย ๆ
ตัวเก็บเป็นพอร์ตโฟลิโอ
จำนวนของหุ้นที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอควรจะมีอย่างน้อย10ตัวขึ้นไป
โดยที่หุ้นแต่ละตัวควรจะมาจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ กันไป
เพื่อที่ว่าเมื่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งหรืออุตสาหกรรมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีปัญหา
หุ้นตัวอื่นหรือหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นจะไม่ถูกกระทบไปพร้อมๆ
กัน
การลดความเสี่ยงโดยการกระจายการถือหุ้นนั้น
ไม่ควรกระจายมากเกินไป เพราะการถือหุ้นเต็มไปหมดนั้น
จะทำให้เราไม่เข้าใจหุ้นอย่างดีพอและทำให้การลงทุนผิดพลาดได้กลายเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการไม่รู้
และถ้าเราทำแบบนั้นมาก ๆ
การที่จะหวังได้ผลตอบแทนที่ดีจากพอร์ตโฟลิโอก็เป็นไปได้ยาก
กฎง่าย ๆ ของผมก็คือ ควรมีหุ้นที่มีความสำคัญ
หรือมีจำนวนค่อนข้างมากไม่น้อยกว่า 5 – 6
ตัวซึ่งอาจจะถือว่าเป็นแกนของพอร์ตโฟลิโอที่เราจะถือค่อนข้างยาว
และหุ้นที่มีคุณภาพดี
และราคาถูกเข้าข่ายเป็นหุ้นมีคุณค่าอีกสัก10 – 20ตัวเป็นส่วนประกอบโดยที่หุ้นที่เป็นแกน
ควรจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า70%
และหุ้นที่เป็นตัวประกอบไม่เกิน30%
วิธีการกระจายหุ้นข้างต้นนั้น
เหมาะสำหรับพอร์ตที่มีขนาดใหญ่พอสมควร
และเป็นการลงทุนของ ValueInvestor
มืออาชีพในกรณีที่พอร์ตยังเล็กอยู่ผมคิดว่าการถือหุ้นเพียง
5 –6 ตัวในพอร์ตโฟลิโอก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
การลดความเสี่ยงวิธีที่สามก็คือ
การกระจายการลงทุนไปในหลาย ๆ ช่วงเวลาหรือพูดง่าย ๆ
ก็คือการทยอยลงทุนไปเรื่อย ๆ
ทั้งในช่วงที่ตลาดหุ้นขึ้น
และตลาดหุ้นลงหรือในช่วงที่ดัชนีตลาดอยู่ในระดับสูง
และในช่วงที่ดัชนีตลาดค่อนข้างจะต่ำสุด ๆ
การกระจายความเสี่ยงตามระยะเวลานั้น
ช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดหลักทรัพย์ได้เป็นอย่างดี
เพราะในความเป็นจริงเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าดัชนีตลาดจะขึ้นหรือลงถ้าเรากำเงินทั้งหมดเข้าตลาดในช่วงที่ตลาดกำลังร้อนแรงเป็นตลาดกระทิงถ้าหากตลาดเกิดเปลี่ยนทิศและตกลงมาอย่างแรงเราอาจจะขาดทุนมหาศาลและอาจต้องใช้เวลานานเป็น
5 ปีหรือ 10 ปี กว่าที่พอร์ตของเราจะได้ทุนคืนมา
เช่นเดียวกันในช่วงที่ภาวะตลาดซบเซา
ถ้าเราเข้าไปซื้อหุ้นมากมายทีเดียวก็อาจจะมีโอกาสที่ตลาดจะตกลงไปอีก
ถึงแม้ว่าเราจะคาดว่าความเสี่ยงในภาวะนั้นจะมีน้อย
ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือทยอยลงทุนไปเรื่อย ๆ
ในหุ้นที่เราคัดเลือกแล้วว่าดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา
วิธีลดความเสี่ยงวิธีสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงนี้
อาจจะไม่ค่อยมีผู้กล่าวถึงนักแต่โดยส่วนตัวผมเองคำนึงถึงอยู่เสมอนั่นก็คือ
เลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีหนี้น้อยหรือไม่มีหนี้เลยและเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลค่อนข้างดีและสม่ำเสมอ
บริษัทที่มีหนี้น้อยหรือไม่มีหนี้นั้นเป็นบริษัทที่มีความแข็งแรงสามารถทนต่อสภาวะผันผวนหรือวิกฤตเศรษฐกิจได้
รวมทั้งสามารถต่อสู้กับคู่แข่งได้ดีกว่าบริษัทที่มีหนี้มากเพราะฉะนั้นราคาหุ้นของบริษัทที่ปลอดหนี้มักจะไม่ตกลงมารุนแรงแม้ว่าตลาดหรือบริษัทจะประสบกับภาวะเลวร้าย
นอกจากนั้นการที่บริษัทจ่ายปันผลดี
และสม่ำเสมอจะเป็นเครื่องที่คอยค้ำจุนราคาหุ้นไม่ให้ตกต่ำเกินไป
เพราะถ้าหุ้นตกลงมามากก็จะมีนักลงทุนเข้ามารับหุ้นเพื่อรอกินปันผล
วิธีการลดความเสี่ยงที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น
ผมคิดว่าเป็นวิธีการที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้เป็นอย่างดี
โดยส่วนตัวผมเองแล้วการลงทุนในตลาดตลอดมาไม่เคยประสบกับความผันผวนรุนแรงไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรและที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
ผลตอบแทนของการลงทุนก็ไม่ได้ลดถอยลงไปเลย
เรียกได้ว่าความเสี่ยงต่ำ
แต่ผลตอบแทนสูงตรงกันข้ามกับทฤษฎีการเงินอย่างสิ้นเชิง
|